[สรุปมาให้] รวมฟีเจอร์ไอโฟน 14 สุดล้ำและน่าสนใจทั้ง 4 รุ่น
เป็นที่จับตามองอย่างมากกับการเปิดตัวไอโฟน 14 (iPhone 14) ในไทยอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กันยายน เรียกได้ว่าทุกสื่อในช่องทางต่าง ๆ มีการลงข่าวเอาไว้มากมาย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า ไอโฟน 14 แต่ละรุ่นมีสเปกและความน่าสนใจอย่างไรบ้าง รวมถึงฟีเจอร์น่าสนใจที่ทาง Apple ใส่เข้ามาเพิ่มในไอโฟน 14
เปิดสเปกและความน่าสนใจของไอโฟน 14
รุ่นต่าง ๆ พร้อมราคาเปิดตัว
- ราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท
- วันเริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายน 2022
- ราคาเริ่มต้นที่ 37,900 บาท
- วันเริ่มวางจำหน่าย 7 ตุลาคม 2022
- ราคาเริ่มต้นที่ ฿32,900 บาท
- วันเริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายน 2022
- ราคาเริ่มต้นที่ 44,900 บาท
- วันเริ่มวางจำหน่าย 16 กันยายน 2022
ดีไซน์ไอโฟน 14
ในส่วนของการดีไซน์ตัวเครื่อง ไอโฟน 14 และไอโฟน 14 Plus ยังคงมีดีไซน์เหมือนกับในรุ่นไอโฟน 13 แทบทุกอย่าง ทั้งดีไซน์ขอบตัวเครื่อง และในส่วนของการวางตำแหน่งกล้องหลัง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือขนาดตัวเครื่องของรุ่นไอโฟน 14 Plus มีให้เลือกแบบจอใหญ่ 6.7 นิ้ว ซึ่งเท่ากับขนาดของไอโฟน 14 Pro Max ส่วนไอโฟน 14 และ ไอโฟน 14 Pro ขนาดจออยูที่ 6.1 นิ้ว สำหรับดีไซน์ของไอโฟน 14 Pro และไอโฟน 14 Pro Max มีกล้องหลังแบบ 3 ตัวเช่นเดิมแต่มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม
การประมวลผล
สำหรับการประมวลผล ไอโฟน 14 และไอโฟน 14 Plus ยังคงใช้ชิปเซ็ตเดียวกันกับไอโฟน 13 Series คือ A15 Bionic ส่วนไอโฟน 14 Pro และไอโฟน 14 Pro Max จะใช้ชิปเซ็ตตัวใหม่คือ A16 Bionic ที่มีการใช้เทคโนโลยีแบบ 4 นาโนเมตร ซึ่งนอกจากจะทำให้การประมวลผลเร็วและทำงานได้ดีกว่ารุ่นธรรมดาแล้ว ยังเน้นในเรื่องของการประหยัดพลังงานได้ดีขึ้นด้วย
กล้องถ่ายรูปของไอโฟน 14
- สเปกกล้องไอโฟน 14 และไอโฟน 14 Plus: ความละเอียกกล้องหลังของไอโฟน 14 สองรุ่นนี้ กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพของภาพถ่ายสวยกว่าเดิม ที่สำคัญยังช่วยให้การถ่ายภาพแบบ Night Mode ชัดขึ้นอีกด้วย สำหรับกล้องหน้ามีการใส่ Auto Focus มาให้แล้ว ทำให้สามารถถ่ายเซลฟี่กับเพื่อน ๆ ได้หน้าชัดทุกคน ที่น่าสนใจอีกอย่างเลยก็คือ ในการถ่ายวิดีโอ มีการใส่ Action Mode มาให้ ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างสมูธยิ่งขึ้น
- สเปกกล้องไอโฟน 14 Pro และไอโฟน 14 Pro Max: เป็นอีกสเปกที่ฮือฮากันมากสำหรับไอโฟน 14 คือ สเปกกล้องหลังเลนส์หลักที่มีความละเอียดกว่า 48 ล้านพิกเซลเป็นครั้งแรก ทำให้สามารถถ่ายได้ชัดทุกรายละเอียด ระยะภาพกว้างทีสุดเท่าที่เคยมีมาอยู่ที่ 24 มิลลิเมตร ทำให้ได้ภาพมุมกว้างขึ้น พร้อมทั้งเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่าเดิน 65% และในทุก ๆ 4 พิกเซลของภาพถ่าย จะมีการรวมเป็น 1 พิกเซลให้ ทำให้ได้ภาพออกมาแบบ 12 ล้านพิกเซล ไม่ต้องกลัวเปลืองพื้นที่ในเครื่อง แต่ยังได้ภาพที่คุณภาพดีเหมือนเดิม ส่วนใครที่ต้องการถ่ายภาพระดับมืออาชีพสามารถถ่ายด้วยโหมด ProRaw เพื่อให้ได้ภาพความละเอียด 48 ล้านพิกเซลได้ หรือถ่ายแล้วครอปรูปภายหลัง ก็ทำให้ได้ภาพชัดเจน นอกจากเลนส์หลักที่บอกไปแล้ว สองรุ่นใหญ่ของไอโฟน 14 ยังมีเลนน์ Telephoto ที่สามารถซูมได้ 2 เท่า และเลนส์ Ultrawide มาให้อีกอย่างละ 12 ล้านพิกเซล
Dynamic island
ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจและมีเฉพาะในไอโฟน 14 Pro และ 14 Pro Max เท่านั้นก็คือ Dynamic island จากที่เราจะเห็นรอบบากบริเวณด้านบนหน้าจอซึ่งเป็นตำแหน่งของกล้องหน้าในรุ่นก่อน ๆ และรวมถึงในไอโฟน 14 สองรุ่นเล็กก็ยังมี แต่สำหรับในรุ่นนี้ ทาง Apple ได้มีการออกแบบใหม่ โดยปรับปรุงซอฟแวร์ให้บริเวณดังกล่าวมีลูกเล่นมากขึ้น ทั้งการแจ้งเตือน การเคลื่อนไหวอนิเมชันต่าง ๆ และใช้สำหรับสั่งการบางแอปฯ ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าทำออกมาดูดีและน่าใช้งาน
Always-on-Display
ฟีเจอร์หน้าจอแบบ Always-On เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่หลายคนให้ความสนใจ แม้ว่าจะมีการใช้ใน Apple Watch มาแล้วหลายปี แต่ถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำฟีเจอร์นี้มาใส่ไว้ในไอโฟน สำหรับฟีเจอร์ Always-on-Display จะมีเฉพาะในไอโฟน 14 Pro และ 14 Pro Max เท่านั้น เมื่อเปิดใช้งานฟีเจอร์ บริเวณหน้าจอจะยังคงแสดงเวลาและวันที่ แต่ภาพพื้นหนังจะเข้มขึ้น และไอคอนไฟฉายกับกล้องถ่ายรูปจะหายไปจากหน้าจอ เมื่อเราเก็บไอโฟนในกระเป๋าหรือคว่ำหน้าจอลง จอจึงจะดับสนิท พร้อมทั้งมี ProMode ที่สามารถปรับการรีเฟลชหน้าจอได้ตั้งแต่ 1Hz ไปจนถึง 120Hz เป็นการช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย
หน้าจอสว่างถึง 2,000
ฟีเจอร์นี้เหมาะกับเมืองแดดจ้าอย่างบ้านเรา เพราะความว่างของหน้าจอสว่างสว่างได้มากขึ้นถึง 2,000 nits ทำให้สามารถมองเห็นหน้าจอได้ชัดขึ้นเมื่ออยู่ในที่แจ้ง แต่ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะในไอโฟน 14 Pro และ 14 Pro Max เท่านั้น
Car Crash Detection และ Emergency SOS via Satellite
เป็นสองฟีเจอร์ที่มีการนำเสนอไว้ตอนวันเปิดตัวไอโฟน 14 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นหลัก สำหรับฟีเจอร์ Car Cash Detection เป็นการตรวจจับการสันสะเทือนและข้อมูลอื่น ๆ ที่เกิดจากเหตุการณ์เกิดอุบัติเหตุรถชน โดยทำง่ายร่วมกับ Apple Watch เมื่อวิเคราะห์ได้แล้วว่าเป็นอุบัติเหตุรถชน เครื่องจะทำการโทรแจ้งเบอร์ฉุกเฉินให้เองทันที ซึ่งในส่วนนี้ทาง Apple ได้มีการเก็บข้อมูลการขับรถจริงบนท้องถนนกว่าล้านชั่วโมงเพื่อนำมาวิเคราะห์โดยอัลกอริธึม นอกจากนี้ตัว GPS ยังทำหน้าที่ในการระบุความเร็วของรถ และไมโครโฟนจะทำการบันทึกเสียงที่เกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย โดยทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกันเพื่อวิเคราะห์อุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
สำหรับฟีเตอร์ Emergency SOS via Satellite เป็นฟีเจอร์ที่สามารถขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียมได้ โดยสามารถใช้งานได้แม้จะอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณโทรศัพท์ แต่ตอนนี้ฟีเจอร์ขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียมยังใช้ได้แค่ในพื้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาเท่านั้น ซึ่งทั้งสองฟีเจอร์นี้มีการใส่มาในไอโฟน 14 ทั้ง 4 รุ่น
จะเห็นว่าไอโฟน 14 และไอโฟน 14 Plus มีสเปกที่เหมือนกันเลยทั้งความแรงและกล้องถ่ายภาพ แต่สิ่งที่ถูกใจคนชอบสมาร์ทโฟนจอใหญ่ คือไอโฟน 14 Plus มีขนาดจอที่ใหญ่เท่ารุ่น Pro Max ให้เลือก ส่วนใครที่ชอบรุ่นใหญ่ สเปกแรง โดยเฉพาะความเก่งกาจของกล้องถ่ายภาพในไอโฟน 14 Pro และ 14 Pro Max ที่ใส่มาให้ ถูกใจคนชอบถ่ายรูประดับมืออาชีพอย่างแน่นอน
สั่งซื้อไอโฟน 14 ราคาพิเศษที่ dtac
อย่างที่เปิดเผยราคาเริ่มต้นของไอโฟน 14 แต่ละรุ่นกันไปแล้ว ราคาเครื่องเปล่าถือว่าสูงกว่าราคาไอโฟน 13 ตอนเปิดตัวอยู่ไม่น้อย แต่สำหรับใครที่สั่งซื้อไอโฟน 14 ล่วงหน้าภายในวันที่ 15 กันยายน เวลา 12.00 น. สามารถสั่งซื้อในราคาเริ่มต้นที่ 7,900 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าดีแทครายเดือนแบบ Gold Member และ Platinum Member ที่มีอายุการใช้งาน 12 เดือนขึ้นไป
โปรโมชันแนะนำ
บทความแนะนำ